ครอบครองปรปักษ์ นับรวมเวลาระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนออกโฉนดได้หรือไม่

สรุป การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่นที่ได้ออกโฉดนดแล้ว ดังนั้นไม่อาจนับรวมเวลาที่ยังเป็นที่ดินมือเปล่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2270/2554

การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองในระหว่างเป็นที่ดินมือเปล่าก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหาได้ไม่ ขณะที่มีการออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทปี 2529 ผู้ร้องไม่ได้คัดค้านอย่างใด ต่อมาปี 2533 ผู้ร้องเข้าไปตักดินในที่ดินพิพาท ผู้คัดค้านห้ามแล้วไม่หยุด ผู้คัดค้านจึงนำโฉนดที่ดินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจว่าผู้ร้องบุกรุก ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินพิพาทและแสดงออกว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2533 เมื่อนับระยะเวลาจนถึงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง 

คำพิพากษาย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 ตำบลกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 10 ไร่ 3 ตารางวา ซึ่งมีชื่อนายอนันต์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยผู้ร้องเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยความสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ เป็นเวลาเกินกว่า 20 ปี ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครอง และขอให้มีหนังสือแจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ตแก้ทะเบียนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 โดยใส่ชื่อผู้ร้องในโฉนดที่ดินดังกล่าวแทนนายอนันต์ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านและฟ้องแย้งว่า ผู้ร้องเพิ่งบุกรุกเข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 เมื่อปี 2535 โดยสร้างบ้าน 2 หลัง บริเวณริมแนวเขตด้านทิศเหนือ ต่อมาปี 2537 ผู้ร้องได้สร้างรั้วล้อมรอบที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 เมื่อนับแต่วันที่ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 จนถึงวันยื่นคำร้องขอยังไม่ถึง 10 ปี ผู้ร้องจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 โดยการครอบครอง ดังนั้น ผู้คัดค้านยังคงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว ผู้ร้องอาศัยอยู่ในที่ดินของผู้คัดค้าน โดยผู้คัดค้านไม่อนุญาต ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้อง และขับไล่ผู้ร้องพร้อมบริวารและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินทั้งหมดออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1722 ตำบลกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ตผู้ร้องให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี โดยผู้ร้องได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ปลูกพืชผลอาสินและไม้ยืนต้นในที่ดินพิพาทเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 20 ปี ไม่ใช่เพิ่งบุกรุกที่ดินพิพาทเมื่อปี 2535 ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ผู้ร้องรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างของผู้ร้องออกจากที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน และห้ามเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท ให้ผู้ร้องและบริวารออกจากที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน ยกคำร้องขอของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,500 บาท แทนผู้คัดค้าน และให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนผู้คัดค้าน โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 1722 ตำบลกมลา อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 10 ไร่ 3 ตารางวา มีชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยซื้อมาจากบริษัทเหมืองแร่กำมะรา จำกัด เมื่อปี 2531 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของผู้อื่นโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์และครอบครองโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี คดีนี้ ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 1722 เอกสารหมาย ร.3 ปรากฏว่า ที่ดินพิพาทได้ออกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 ดังนี้ แม้ผู้ร้องอ้างว่าได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ปี 2512 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เช่นนี้ผู้ร้องจะนับระยะเวลาการครอบครองก่อนที่ดินพิพาทออกโฉนดรวมเข้ากับระยะเวลาการครอบครองปรปักษ์ภายหลังที่ดินมีโฉนดแล้วหาได้ไม่ กรณีมีปัญหาว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดตั้งแต่ที่ดินพิพาทออกโฉนดที่ดินแล้วหรือไม่ ในข้อนี้ผู้ร้องเบิกความโดยรวมว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินส่วนของผู้ร้องและที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ติดต่อกันเป็นแปลงเดียวตลอดมาตั้งแต่ปี 2512 โดยไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าที่ดินพิพาทมีอาณาเขตอย่างไร กว้างยาวเท่าใด อ้างเพียงลอย ๆ ว่าได้ทำรั้วล้อมรอบที่ดินเท่านั้น แต่นายหมีด พยานผู้ร้องกลับเบิกความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของบิดาผู้ร้อง ต่อมาได้ยกให้ผู้ร้องเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2524 แสดงว่าผู้ร้องเพิ่งครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อปี 2524 ซึ่งขัดกับคำเบิกความของผู้ร้องในข้อสำคัญ ฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทเมื่อใด และแม้ผู้ร้องจะมีนายสนิท กับนายดนล่ะ มาเป็นพยานก็เบิกความรวม ๆ เช่นกันว่า ผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท แต่พยานไม่ทราบว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่และอาณาเขตอย่างไร ซึ่งผู้ร้องได้เบิกความว่า ผู้ร้องปลูกบ้านเลขที่ 64/13 หลังที่สองเมื่อปี 2536 หรือ 2537 โดยการตักทรายออกขายแล้วสร้างบ้านบนที่ดินเช่นนี้ เมื่อผู้ร้องไม่ได้นำสืบให้ชัดเจนว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทมีอาณาเขตแท้จริงเท่าใด และตั้งแต่เมื่อใด จึงฟังไม่ได้แน่ชัดว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 กลับได้ความจากข้อนำสืบของผู้คัดค้านโดยมีนายชัย เบิกความสนับสนุนว่า ผู้คัดค้านซื้อที่ดินพิพาทมาเมื่อปี 2531 ขณะรับโอนไม่มีสิ่งปลูกสร้าง สภาพเป็นดินทราย มีต้นมะพร้าว ต้นมะขาม และต้นมะม่วงหิมพานต์ มีรั้วลวดหนามและเสาไม้ มีนายชัย ช่วยดูแล ต่อมาปี 2533 ผู้ร้องเข้าไปตักดินในที่ดินพิพาท ห้ามแล้วไม่หยุด ผู้คัดค้านจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลกมลา ซึ่งผู้ร้องได้ตอบทนายผู้คัดค้านถามค้านยอมรับว่า เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ผู้คัดค้านเคยไปตักทรายในที่พิพาท ผู้ร้องห้าม ผู้คัดค้านได้นำโฉนดที่ดินไปแจ้งความว่าผู้ร้องบุกรุก เจือสมข้อนำสืบของผู้คัดค้าน นอกจากนี้ผู้คัดค้านยังมีนายอารยะ กุลวิจิตร เบิกความว่า เมื่อปี 2528 พยานได้รังวัดที่ดินพิพาทเพื่อออกโฉนดที่ดินระหว่างที่ดินของผู้ร้องกับที่ดินพิพาทมีรั้วไม้ขึงด้วยลวดหนามกั้นระหว่างกัน ในการรังวัดพยานพบผู้ร้องแต่ไม่คัดค้านและมีนายสะอาด ล่าตะหลา กำนันตำบลท้องที่เกิดเหตุเบิกความสนับสนุนว่า ในวันรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาท พยานไประวังแนวเขต ขณะนั้นที่ดินพิพาทมีเสาไม้ขึงด้วยลวดหนามล้อมที่ดินพิพาท ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง เห็นว่า พยานดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานไม่มีส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับฝ่ายใด จึงเป็นพยานคนกลางมีน้ำหนักเชื่อถือได้ แสดงว่าในขณะมีการออกโฉนดที่ดินพิพาทในปี 2528 และปี 2529 ที่ดินพิพาทแยกจากที่ดินของผู้ร้องเป็นส่วนสัดมีรั้วล้อมรอบ ไม่ใช่ที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินของผู้ร้องดังที่ผู้ร้องนำสืบ และผู้ร้องไม่ได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินในที่ดินพิพาทของบริษัทเหมืองแร่กำมะรา จำกัด ซึ่งผิดวิสัยของผู้ที่เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทย่อมหวงกันมิให้ผู้อื่นเข้าเกี่ยวข้อง จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินพิพาทตั้งแต่ที่ดินพิพาทมีโฉนดที่ดินเมื่อปี 2529 ดังนี้ ตามพยานหลักฐานของผู้คัดค้านจึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของผู้ร้อง ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ผู้คัดค้านนำสืบว่า ผู้ร้องได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและแสดงออกว่ามีเจตนาเป็นเจ้าของเมื่อปี 2533 เมื่อมีการพิพาทกันในเรื่องตักทรายในที่ดินพิพาท ซึ่งเมื่อนับระยะเวลาจนถึงผู้ร้องยื่นคำร้องขอคดีนี้เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2541 ยังไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือแสดงสิทธิครอบครอง (ส.ค.1) ผู้คัดค้านได้ที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่าที่ดินพิพาทมีชื่อผู้คัดค้านเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ โดยไม่ได้โต้แย้งการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทของผู้คัดค้าน เท่ากับผู้ร้องยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้าน แต่ผู้ร้องอ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อผู้คัดค้านโต้แย้งว่าผู้ร้องไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทด้วยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่เท่านั้น ไม่มีประเด็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นของผู้ร้องมาก่อนและไม่มีประเด็นว่าผู้คัดค้านได้ที่ดินพิพาทมาโดยชอบหรือไม่ดังที่ผู้ร้องฎีกา ส่วนฎีกาข้ออื่นเป็นข้อปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำต้องวินิจฉัย ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมาชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382

ที่มา https://deka.in.th/